1. ประสบการณ์
ควรเลือกเอเจนซี่ที่มีประสบการณ์ดูแลแบรนด์ธุรกิจที่หลากหลายและตรงกับธุรกิจของคุณเพื่อให้ธุรกิจได้รับการปรับปรุงและแผนการตลาดที่ได้รับการทดลองมาแล้วว่าได้ผลลัพธ์จริงจากแบรนด์อื่นที่เอเจนซี่เคยทำมา ทำให้ธุรกิจมีโอกาสได้รับยอดขายที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด
2. ความยืดหยุ่น
เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญเนื่องจากการทำการตลาดไม่สามารถกำหนดทุกอย่างแบบชัดเจนได้ อย่างเช่น จำนวนการทดสอบชิ้นงานโฆษณา หากชิ้นงาน A ไม่ดีควรจะทดสอบชิ้นงาน B เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอชิ้นงานโฆษณาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
3. สามารถติดต่อง่าย
หากมีปัญหาหรือต้องการพูดคุยเพื่อสอบถามถึงวิธีการทำงานควรจะต้องสามารถติดต่อได้รวดเร็วเพื่อให้ธุรกิจได้รับการพัฒนาและปรับกลยุทธ์แคมเปญโฆษณาได้อย่างรวดเร็วและได้รับผลลัพธ์ที่ดี
4. ตรงไปตรงมา
ข้อนี้สำคัญมากเนื่องจากหลายเอเจนซี่มักจะพูดเฉพาะข้อดีของการทำโฆษณาและข้อดีของบริการตนเองเพื่อให้ลูกค้าสนใจ แต่ในสถานการณ์จริงไม่ได้ดีอย่างนั้นทุกอย่างครับ เช่น กรณีลูกค้าต้องการเน้นยอดขายอย่างเดียว สามารถผลิตสื่อเองได้ แต่เอเจนซี่พยายามจะขายคอนเทนต์เพิ่มและบอกว่าต้องทำคอนเทนต์ด้วยเอเจนซี่เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญกว่า แต่ในความเป็นจริงอาจไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปอย่างเช่นทุกวันนี้เราเห็นว่าคลิปบน Tiktok ที่ถ่ายรีวิวง่ายๆ เรียลๆ โดยนางแบบนั้นกลับได้ผลลัพธ์ดีกว่าการจัดฉากหรือทำโฆษณาแบบจริงจัง ส่วนนี้พูดตรงๆ อาจทำให้ลูกค้าเสียค่าใช้จ่ายน้อยลงอย่างมาก
5. เทียบราคากับตลาด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมองธุรกิจให้ออกว่าสามารถรับค่าใช้จ่ายได้ขนาดไหนซึ่งปัจจุบันไม่มีราคาที่เป็นราคากลาง ธุรกิจจะสามารถเจอราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักแสนขึ้นอยู่กับขนาดของเอเจนซี่ ประสบการณ์ จำนวนพนักงาน และอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพูดคุยและพิจารณาว่าที่ไหนให้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดและเราสามารถรับค่าใช้จ่ายได้
สรุป
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและกำลังหาบริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ ควรหาบริษัทพูดคุยพิจารณาเปรียบเทียบสิ่งที่ธุรกิจต้องการเป็นหลักรวมกับค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลในแง่ของขนาดของเอเจนซี่ ประสบการณ์ และงบประมาณทางการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจ